รายวิชา ประวัติศาสตร์ รหัสวิชา ส22102 คุณครูผู้สอน คุณครูชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด

ข่าว

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

3.วังหน้าสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

วังหน้าสมัยกรุงรัตนโกสินทร์------------------
             “วังหน้า” ที่ปรากฏในยุครัตนโกสินทร์นี้ เริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ 1 เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อพุทธศักราช 2325 และได้ยกเลิกตำแหน่งนี้เมื่อ“วังหน้า” พระองค์สุดท้ายคือกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทิวงคต เมื่อพุทธศักราช 2428 ในสมัยรัชกาลที่ 5 รวมเวลาที่มีตำแหน่ง “วังหน้า” ในสมัยรัตนโกสินทร์ 103 ปี
              วังหน้า เป็นชื่อที่สามัญชนชอบ ใช้เรียกพระมหาอุปราช ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีขึ้นครั้งแรกในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โดยตราพระราชกำหนดศักดินาพลเรือนขึ้น เมื่อพุทธศักราช 2009 ต่อมาในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้เปลี่ยนนามวังที่ประทับของพระมหาอุปราชให้สูงขึ้นเสมอพระราชวังหลวง เรียกว่า พระราชวังบวรสถานมงคล เหตุที่สามัญชนเรียก พระราชวังบวรสถานมงคลว่า วังหน้า อธิบาย ได้ 3 ประการดังนี้ ประการที่ 1 หมายถึงวังที่ตั้งอยู่ข้างหน้าของพระราชวังหลวง สมัยอยุธยา ครั้งเมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นพระมหาอุปราช ประกาศอิสรภาพพ้นการเป็นเมืองขึ้นของพม่าแล้ว เสด็จมาประทับในพระนครศรีอยุธยา ทรงสร้างพระราชวังขึ้นใหม่ทางด้านหน้าของพระราชวังหลวง จึงถูกกำหนดให้เป็นที่ตั้งวังที่ประทับของพระมหาอุปราช ประการที่ 2 ลักษณะการจัดขบวนทัพออกรบ ทัพของพระมหาอุปราชจะยกออกเป็นทัพหน้า เรียกว่าฝ่ายหน้า และเรียกวังที่ประทับของแม่ทัพว่า วังฝ่ายหน้า และย่อเป็นวังหน้าในที่สุด ประการสุดท้าย วังหน้าจะปรากฏเรียกเฉพาะในเวลาที่บ้านเมืองมีพระมหาอุปราชเท่านั้น สมัยธนบุรี ไม่มีตำแหน่ง พระมหาอุปราช จึงไม่ปรากฏว่ามี วังหน้าในสมัยนั้น
วังหน้า ระหว่าง ปี พ.ศ. 2325-2346
               เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อพุทธศักราช2325 โปรดให้พระยาจิตรเสวี และพระยาธรรมธิกรณ์ เป็นแม่กองย้ายชุมชนชาวจีนไปอยู่บริเวณวัดสามปลื้มและวัดสามเพ็ง เพื่อใช้ที่ดินริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านทิศใต้จากวัดโพธาราม (วัดพระเชตุพน) จรดวัดสลัก (วัดมหาธาตุ) ในการสร้างพระบรมหาราชวัง (วังหลวง) และโปรดให้สมเด็จพระอนุชาธิราช ซึ่งดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชยาติกรรมที่ดินบางส่วนของวัดสลักไปทางเหนือจรดคลองโรงไหม(บริเวณเชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฝั่งพระนคร) เพื่อสร้างเป็นพระราชวังบวรสถานมงคล พระองค์ทรงเป็นพระมหาอุปราชที่มีความสามารถในการรบเป็นอย่างยิ่งเป็นที่เลื่องลือ ในบรรดานักรบต่างชาติ เช่น พม่า ในนามของพระยาสุรสีห์ หรือพระยาเสือ ทรงดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราช เป็นเวลา 21 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อพุทธศักราช 2346 ในสมัยของพระองค์พื้นที่วังหน้าด้านเหนือติดกับคลองคูเมือง เป็นสำนักชี เรียกกันว่า วัดหลวงชี เพราะเป็นที่จำศีลของ นักชี มารดาของนักองค์อี ซึ่งเป็นพระชายา ปัจจุบันพื้นที่บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของวิทยาลัยนาฎศิลป
วังหน้า ระหว่างปี พ.ศ. 2349-2360
               หลังจากกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท สวรรคต ตำแหน่งพระมหาอุปราช ว่างลงเป็นเวลา 3 ปี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงแต่งตั้ง พระโอรส คือ พระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เป็นพระมหาอุปราช แต่ทรงประทับที่พระราชวังเดิม (ที่ทำการกองเรือยุทธการในปัจจุบัน) ทรงดำรงพระยศพระมหาอุปราช 3 ปี พุทธศักราช 2352 เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ 2 ของสมัยรัตนโกสินทร์ ได้ทรงสถาปนาพระอนุชาธิราชให้ดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราช ทรงพระนาม กรมพระราชวังบวรเสนานุรักษ์ พระองค์ได้ช่วยสมเด็จพระเชษฐาปฏิบัติราชการอย่างเข้มแข็ง ทั้งนี้เพราะพระเชษฐา คือพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเป็นกวีและศิลปิน พระองค์สนพระทัยในเรื่องศิลปะ วรรณคดีและนาฎศิลป์เป็นอันมาก ฉะนั้น พระอนุชาจึงต้องช่วยแบ่งภาระในการบริหารราชการไปเป็นส่วนมาก ทรงดำรงพระยศพระมหาอุปราชเป็นเวลา 8 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อพุทธศักราช 2360 ตำแหน่งพระมหาอุปราชว่างลงจนสิ้นรัชกาล
วังหน้า ระหว่างปี พ.ศ. 2367-2375
                  เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อพุทธศักราช 2367โปรดให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นมหาศักดิ์พลเสพ ดำรงพระยศพระมหาอุปราช พระองค์เป็นพระโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ โปรดให้มีการรื้อและสร้างอาคารต่าง ๆ ภายในพระราชวังบวรฯอย่างมาก โปรดให้สร้างวัดบวรสถานสุทธาวาส หรือวัดพระแก้ววังหน้าขึ้น ตรงบริเวณที่เคยเป็นสำนักชีเมื่อครั้งสมัยกรมพระราชวังบวรพระองค์แรก และรื้ออกทำเป็นสวนกระต่ายเมื่อสมัยกรมพระราชวังบวรเสนานุรักษ์ ปัจจุบันโบราณสถานแห่งนี้ยังตั้งเด่นเป็นสง่าแก่วิทยาลัยนาฎศิลป พระองค์ทรงดำรงพระยศพระมหาอุปราชเป็นเวลา 8 ปี เสด็จสวรรคตในปีพุทธศักราช 2375 จากนั้นตำแหน่งพระมหาอุปราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ว่างลงเป็นเวลา18 ปี
วังหน้า ระหว่างปี พ.ศ. 2394-2408
               พุทธศักราช 2394 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ ได้ทรงแต่งตั้งพระอนุชา เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นพระมหาอุปราช และให้มีพระเกียรติยศเทียบเท่าพระเจ้าแผ่นดิน พระราชทานบวรราชาภิเษกเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ชาวต่างประเทศเรียกว่า พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สอง พระองค์สนพระทัย เรื่องปืน การสร้างเรือกลไฟ เรือรบ โปรดการทหาร การกีฬาดนตรี ตลอดจนการศึกษาภาษาอังกฤษ โปรดขนบธรรมเนียมและความเป็นอยู่อย่างชาวตะวันตก ทรงปฏิสังขรณ์ต่อเติมและสร้างพระราชมณเฑียรใหม่ สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นอีกประการหนึ่งคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ จากพระอุโบสถวัดพระแก้ว วังหลวง กลับมาไว้ที่วังหน้าดังเดิม (ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่งพุทไธศวรรย์ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ) โปรดให้ช่างวาดจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับตำนานพระพุทธสิหิงค์ และประวัติอดีตพระพุทธเจ้า28 พระองค์ไว้ที่ผนังในพระอุโบสถและพระราชทานนามว่า วัดบวรสถานสุทธาวาส สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ทรงดำรงราชสมบัติเป็นเวลา 15 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อพุทธศักราช2408 ตำแหน่งพระมหาอุปราชว่างลงอีกครั้งเป็นเวลา 3 ปี
วังหน้า ระหว่างปี พ.ศ. 2411-2428
                พุทธศักราช 2411 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ คณะเสนาบดี และพระบรมวงศานุวงศ์ได้อัญเชิญ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ดำรงพระยศพระมหาอุปราช ทรงมีคุณานูปการต่องานช่างทุกแขนง ทรงอุปถัมภ์ช่างฝีมือเอกรวบรวมไว้ในวังหน้า ฝีมือช่างวังหน้าจึงเป็นฝีมือชั้นสูงในงานศิลปะหลายแขนง จนได้รับการยกย่องเป็นแบบอย่าง พระองค์ทรงดำรงพระยศเป็นเวลา 17 ปี เสด็จทิวงคตในปีพุทธศักราช 2428 เป็นวังหน้าองค์สุดท้ายของประเทศไทย
                  วันที่ 4กันยายน 2428 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ โปรดให้ประกาศพระราชกฤษฎีกายกเลิกตำแหน่งพระมหาอุปราช และโปรดให้จัดเขตวังหน้าขึ้น นอกริมน้ำด้านตะวันตกเป็นโรงทหารรักษาพระองค์ ขยายเขตวังชั้นนอกด้านทิศตะวันออกเป็นท้องสนามหลวง หลังจากเสด็จกลับจากประพาสยุโรป พุทธศักราช 2440 โปรดให้ขยายส่วนของสนามหลวงขึ้นไปทางเหนือรวมทั้งรื้อป้อม และอาคารที่ชำรุดทรุดโทรม รอบ ๆ วัดบวรสถานสุทธาวาสลง คงเหลือแต่ตัวพระอุโบสถไว้ และโปรดให้ใช้พระอุโบสถเป็นพระเมรุพิมานสำหรับประดิษฐานพระบรมศพ เวลาสมโภช และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลแทนพระเมรุใหญ่ท้องสนามหลวง และปลูกพระเมรุน้อยที่พระราชทานเพลิงต่อออกไปทางด้านเหนือ เมื่อเจ้านายวังหน้าสิ้นพระชนม์เหลืออยู่น้อยพระองค์ จึงโปรดให้เสด็จไปอยู่ในพระราชวังหลวง ส่วนพื้นที่วังหน้านอกจากบริเวณพิพิธภัณฑ์สถานนั้น โปรดให้กระทรวงกลาโหมดูแลรักษาต่อมา
                พุทธศักราช 2475 ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลกำหนดการศึกษาของชาติให้คนไทยมีสิทธิขั้นพื้นฐานให้ ได้รับการศึกษา อันจะนำมาซึ่งความมั่นคงของชาติสืบไป พระบรมราชวังของสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานทั้ง 5 พระองค์ ได้ใช้เป็นสถาบันการศึกษา และสถานที่ราชการ คือ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โรงละครแห่งชาติ และวิทยาลัยนาฎศิลป ซึ่งล้วนเป็นสถาบันที่บ่งบอกความเป็นอารยะของชาติ
                เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดขึ้นดำรงตำแหน่งวังหน้า เพราะขณะนั้นพระราชโอรสองค์โต คือ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ยังทรงพระเยาว์เพียง ๑๒ พรรษา ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแย่งชิงราชบัลลังก์ และทรงตั้งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งถูกสงสัยมาตั้งแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงพระชนม์ ว่าคิดจะชิงราชสมบัติ จึงได้เสนอให้ทรงแต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่ง เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่ง เป็น กรมหมื่นบวรวิไชยชาญเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐ แต่ไม่ได้ตั้งให้เป็นวังหน้า
 ก่อนหน้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสวรรคต ๑ วัน ได้มีการประชุมพระญาติวงศ์และขุนนาง ที่ประชุม อันมีสมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ (่ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เป็นประธาน ตกลงที่จะแต่งตั้งกรมหมื่นบวรวิไชยชาญ เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ตามคำเสนอของพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์แต่เรื่องนี้ไม่เป็นมติเอกฉันท์ของที่ประชุม เพราะพระองค์เจ้าปราโมช กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ทรงคัดค้านว่า การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลนั้น ตามโบราณราชประเพณีเป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของที่ประชุม ซึ่งทำความไม่พอใจให้แก่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ท่านจึงได้ย้อนถามว่า "ที่ไม่ยอมนั้น อยากจะเป็นเองหรือ" กรมขุนวรจักรธรานุภาพ จึงตอบว่า "ถ้าจะให้ยอมก็ต้องยอม"จึงเป็นอันว่าที่ประชุมเห็นสมควรที่จะแต่งตั้งกรมหมื่นบวรวิไชยชาญ เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงค
                เนื่องจากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สนับสนุนให้ได้เป็นแต่งตั้งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ จึงทรงเกรงพระทัยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นอันมาก
ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประมาณ พ.ศ. ๒๔๑๗-๒๔๑๘ ทรงริเริ่มปฏิรูปปรับปรุงการปกครองประเทศให้ทันสมัย โดย โยงอำนาจเข้าศูนย์กลางทรงตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์(Auditing Office ปัจจุบันคือ กระทรวงการคลัง) เพื่อรวมรวมการเก็บภาษีมาอยู่ที่เดียวกัน ซึ่งกระทบกระเทือนต่อการเก็บรายได้ สร้างความไม่พอใจแก่เจ้านายและขุนนางเก่าแก่เป็นอันมาก โดยเฉพาะกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งเดิมมีรายได้แผ่นดินถึง ๑ ใน ๓ มีทหารในสังกัดถึง ๒๐๐๐ นาย และมีข้าราชบริพารเป็นจำนวนมาก และเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ มีการสะสมอาวุธ มีความขัดแย้งระหว่างวังหลวงกับวังหน้า จนเกือบจะเกิดสงครามกลางเมือง ซึ่งเรียกเหตุการณ์ขัดแย้งนี้ว่า วิกฤตการณ์วังหน้า[4][5]
กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงมีความรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี และเข้าไปคบค้าสนิทสนมกับนายโทมัส น็อกซ์ กงสุลอังกฤษ ประกอบกับในสมัยนั้น อังกฤษคุกคามสยามถึงขั้นเรียกเรือรบมาปิดปากแม่น้ำ ทางวังหลวงจึงหวาดระแวง เชื่อว่ามีแผนการจะแบ่งดินแดนเป็นสองส่วนคือ ทางเหนือถึงเชียงใหม่ให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าครอง ทางใต้ให้กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญครอง นัยว่าเมื่อแบ่งสยามให้เล็กลงแล้วจะได้อ่อนแอ ง่ายต่อการเอาเป็นเมืองขึ้น
เหตุการณ์บาดหมางเกิดขึ้นเมื่อวันหนึ่ง เกิดระเบิดขึ้นที่ตึกดินในวังหลวง ไฟไหม้ลุกลามไปถึงพระบรมมหาราชวัง ทางวังหลวงเข้าใจว่าวังหน้าเป็นผู้วางระเบิด และไม่ส่งคนมาช่วยดับไฟ ส่วนกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ก็เสด็จหลบหนีไปอยู่ในสถานกงสุลอังกฤษไม่ยอมเสด็จออกมา เหตุการณ์ตึงเครียดนี้กินเวลาถึงสองสัปดาห์ จนกระทั่งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เดินทางกลับจากราชบุรีเข้ามาไกล่เกลี่ย โดยฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศสถือว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการเมืองภายในของสยาม และไม่ได้เข้ามาก้าวก่าย
กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงเป็นเจ้านายที่มีความสามารถหลายด้าน ด้านนาฏกรรม ทรงพระปรีชา เล่นหุ่นไทย หุ่นจีน เชิดหนัง และงิ้ว ด้านการช่าง ทรงชำนาญเครื่องจักรกล ทรงต่อเรือกำปั่น ทรงทำแผนที่แบบสากล ทรงสนพระทัยในแร่ธาตุ ถึงกับทรงสร้างโรงถลุงแร่ไว้ในพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๖ ทรงได้รับประกาศนียบัตรจากฝรั่งเศส ในฐานะผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชาช่าง [6]
กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เสด็จทิวงคตเมื่อวันศุกร์ เดือน ๙ แรม ๓ ค่ำ ปีระกา จุลศักราช ๑๒๔๗ (๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๘) พระชนมายุ ๔๘ พรรษา พระราชทานเพลิง ณ พระเมรุท้องสนามหลวงเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใด ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลว่างลง จนถึงปีจอ พ.ศ. ๒๔๒๙ จึงทรงสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เป็นมกุฎราชกุมารและยกเลิกตำแหน่งพระมหาอุปราช ตั้งแต่นั้นมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น